วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ข้อจำกัดของไดอะล็อค (2)

หากในช่วงเริ่มต้น เราเข้าใจธรรมชาติข้อจำกัดของไดอะล็อคดังที่กล่าวมา แล้วฝืนฝึกต่อไปอีกสักระยะ ก็จะเข้าสู่ช่วง “การยกระดับทางกระบวนการคิด” ทำให้ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเอง มีโอกาสทบทวนตัวเอง และได้เรียนรู้อย่างมากมาย

นั่นเป็นเพราะว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดคาดหวัง หรือมองหาอยู่ เป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าความต้องการของเรา ที่ได้จากการสนทนาทั่วไป เป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน นั่นก็คือการเห็น “กระบวนการทางความคิดของตนเอง”
คนที่ปกติแล้วเป็นคนพูดเยอะ ก็จะเริ่มรู้สึกถึงความน่าอึดอัดในวง แล้วก็จะมองย้อมเข้ามาหาตัวเอง และเห็นว่าตนเองเป็นต้นเหตุ แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ด้วยการเปิดพื้นที่ให้คนอื่นมากขึ้น เปลี่ยนบทบาทเป็นผู้รับฟังที่ดีมากยิ่งขึ้น

คนที่โดยปกติ เป็นคนพูดน้อย คนที่รู้สึกว่าคิดช้าคิดนาน ก็จะเห็นความอึดอัดคับข้องใจของตน ค้นไปเจอสาเหตุที่มาของมัน นั่นก็คือความกังวลใจ ความกลัว ความไม่มั่นใจ แล้วก็จะเริ่มปล่อยวาง ก้าวข้ามพฤติกรรมอันเดิมๆของตน เริ่มมีปากเสียง กล้าพูดมากขึ้น และรู้จักจังหวะในการเริ่มต้นมากขึ้น

คนที่เห็นว่าตนเองไม่ค่อยพูด เป็นเพราะให้ความสำคัญกับตัวเองมากเกินไป ทำให้กลัวไปหมด กลัวผิด กลัวดูไม่ดี หากเมื่อลดความสนใจเกี่ยวกับตัวเอง หันไปมุ่งให้ความสนใจด้วยการฟังอย่างลึกซึ้งกับคนที่พูดแทน แล้วก็จะเริ่มสนุกกับการพูดคุยที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น ตื่นเต้นกับความโลดโผนในหัวข้อการพูดคุยที่หลากหลายมากขึ้น

คนที่คอยมองหาสาระในการพูดคุย จะเริ่มเห็นว่าตนเองมีความคาดหวัง มีจุดมุ่งหมายในการพูดคุย ซึ่งนั่นไม่ใช่หัวใจของไดอะล็อค พอมองตัวเองออก ก็จะเริ่มปล่อยวางความยึดติดใน “ความมีสาระ”แล้วมองเห็นทุกสิ่งรอบตัว “เป็นการเรียนรู้”รวมถึงจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นในหลายๆแง่ จากปฏิกริยาโต้ตอบของตนเองที่มีออกไป ในขณะที่อยู่ในวงสนทนา

ในที่สุด กลุ่มที่มีการผูกขาดการพูดเพียงไม่กี่คน พอดำเนินไปได้สักระยะ ก็จะมีความไว้ใจกัน รู้สึกปลอดภัยต่อกันมากขึ้น จะเริ่มให้ความเท่าเทียมต่อกัน มีการปรับสมดุล แบ่งสรรเวลาให้ทุกคนได้พูดในปริมาณที่พอๆกัน

นั่นเป็นเพราะทุกคนลดความสำคัญของการ “รู้เรื่องข้างนอกตัว” และไปให้ความสำคัญกับการ “รู้จักเรื่องข้างในตัวเอง” ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า

ในวงไดอะล็อคระดับนี้ การสนทนากัน จึงไม่มีการโน้มน้าวใคร ไม่พยายามเปลี่ยนความคิดใคร หรือโต้แย้งกับใคร แต่ละคนเพียงดำรงอยู่และเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ให้แก่กันและกัน พูดออกไปโดยไม่บังคับให้ใครเชื่อ ฟังอย่างตั้งใจแล้วก็ใคร่ครวญโดยไม่ด่วนตัดสิน

ปล่อยให้เกิดการไหลเวียนของการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างเป็นกันเองและเปิดกว้าง มีสติสำนึกรู้ตัว ไม่ปล่อยให้บล็อคหรือความยึดติดในความเห็นของตัวเอง มาหยุดยั้งการรับรู้และการเรียนรู้ของตน

นี่คือภาวะที่เราหลุดออกมาจากอดีตอันคับแคบที่มีเพียงแต่ตัวเอง หลุดออกมาจากกรอบความคุ้นชินอันจำกัด มาสู่พื้นที่ใหม่ที่ใหญ่และกว้างกว่าเดิมมาก ส่งใจให้รู้สึกสบายและเบา เป็นสภาวะที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้และเกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดการพูดคุยที่สมานฉันท์และมีมิตรภาพ เป็นสภาวะที่คำนึงถึง “องค์รวม และประโยชน์ของผู้อื่น”

ด้วยข้อจำกัดที่มีของไดอะล็อค ที่ทำให้เกิดความยากในการฝึกฝน แต่หากเรายอมเข้ามาฝึกสักพัก จนได้เข้าถึงความเป็นไปของกระบวนการนี้แล้ว ย่อมทำให้เกิดการปฏิรูปทางกระบวนความคิด หรือเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ ให้เป็นสภาวะแห่งจิตสำนึกใหม่ได้ในที่สุด



วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ข้อจำกัดของไดอะล็อค (1)

ที่ผ่านมา อาจเอ่ยถึงแต่ประโยชน์ของไดอะล็อค ในตอนนี้จะพูดถึงความยากในการฝึกและข้อจำกัดในกระบวนการนี้บ้าง

จากประสบการณ์ ไดอะล็อคสำหรับผู้เริ่มต้นนั้น จะสร้างความกังวล อึดอัด ไม่สบายใจ มากกว่าความรู้สึกสบายผ่อนคลาย

นั่นเป็นเพราะกระบวนการใดๆก็ตามที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ย่อมจะต้องทำให้เรารู้สึกไม่คุ้นชิน และต้องออกไปจาก พื้นที่อันปลอดภัย (Comfort Zone) นี่จึงเป็นสิ่งแรกที่ผู้เข้าร่วมจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้

เมื่อมาเข้าร่วมวงในระยะแรก ก็จะพบบรรยากาศบางอย่างที่น่าอึดอัด นั่นเป็นเพราะ ในวงสนทนาที่มีบางคนเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นคนพูดเก่งมีความมั่นใจสูง เราก็มักจะได้ยินเสียงคนๆนั้นอยู่แทบจะตลอดเวลา

การผูกขาดการพูดอยู่คนเดียว เช่นนี้ก็ถือเป็นการข่มคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะเราทำให้เสียงของตัวเองดังหรือเป็นที่รับรู้มากกว่าเสียงของคนอื่น

ส่วนคนที่อายุน้อยกว่า หรือรู้สึกว่าด้อยกว่าในทางใด เช่นเป็นคนที่คิดช้า คิดมากคิดนาน หรือไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง ก็จะได้แต่นั่งเงียบ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น

บางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ บางครั้งก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่ปลอดภัย มัวกังวลอยู่ว่าควรจะพูดอะไรดี บางคนก็กลัวว่าจะพูดอะไรผิด ก็เลยได้แต่นั่งเงียบเช่นกัน

แล้วก็กลายเป็นว่า พอนั่งไปสักพัก ก็จะรู้สึกอึดอัดกดดัน เพราะไม่มีโอกาสได้พูด จริงๆต้องบอกว่า ไม่มีจังหวะให้พูดมากกว่า แล้วคนประเภทนี้ก็มักจะไม่สร้างโอกาสให้ตนเองได้พูด แต่เลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพราะรู้สึกปลอดภัยกว่า

การมีบทบาทในวงเช่นนี้ ถือเป็นธรรมชาติในวงสนทนาทั่วๆไปในทุกที่ บางคนสวมบทบาทเป็นผู้ชี้นำ บางคนก็สวมบทบาทเป็นผู้เดินตามไปโดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดความไม่สมดุลกันในวงสนทนา ทำให้เกิดบรรยากาศที่อึดอัดคับข้องใจขึ้น

เหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นบ่อยอีกประการ เมื่อการสนทนาในวงเป็นไปอยู่ เราเกิดความคิดที่อยากจะแลกเปลี่ยนในประเด็นนั้น กำลังจะยกมือขึ้นพูด อยู่ดีๆมีคนยกมือแล้วพูดก่อน แต่ดันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น ทำให้ดูว่า เรื่องที่เราอยากพูดก็เลยดูจะช้าไปเสียแล้ว ครั้นจะยกมือพูดเรื่องที่เราเตรียมไว้ ก็จะเป็นการวกกลับมาเรื่องเดิมอีก แต่ถ้าไม่พูดก็ยิ่งอึดอัดมาก

บางครั้ง หัวข้อสนทนาก็จะเปลี่ยนเร็วมาก ขณะที่เรากำลังคิดใคร่ครวญเรื่องหนึ่งอยู่ หัวข้อสนทนาในวงก็ถูกเปลี่ยนไป พอเราได้ยินเรื่องใหม่ กำลังคิดเกี่ยวกับมันอยู่ หัวข้อก็ถูกเปลี่ยนไปอีก

การกระโดดไปมาอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้เราไม่สามารถลึกซึ้งกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าได้ บางคนจะรู้สึกอึดอัดมาก เพราะการพูดคุยแบบฟรีสไตล์ไม่มีหัวข้อนี้ ทำให้เกิดเรื่องราวมากมาย และอาจรู้สึกว่า ไม่สามารถยึดการสนทนาไว้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ เหมือนจะจับสาระอะไรไม่ได้เลย…

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผู้เข้าร่วมวงไดอะล็อคใหม่ๆ จะมองว่า เป็นความอึดอัดคับข้อง น่ารำคาญใจ และเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ โดยที่ไม่ได้อะไรเท่าไหร่

หลายคนจึงคิดว่า “สิ่งนี้ มันไม่ใช่สำหรับเรา”แล้วก็เลิกไป แต่นั่นไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุ เราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ติดตามต่อตอนหน้าครับ


วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไดอะล็อคพื้นฐาน (3): กติกาและข้อตกลง


ณ บัดนี้ เราได้เข้าใจตรงกันแล้วว่า ไดอะล็อคของพวกเราคืออะไร แล้วเรากำลังจะเดินทางร่วมกันไปที่ไหน จากนี้ไปเราจะเริ่มมากำหนดกติกาของการพูดคุยกัน ว่าจะทำอย่างไร ให้วงไดอะล็อคของพวกเรามีประสิทธิภาพ และเป็นวงสุนทรียสนทนาที่มีความสุข

เพื่อนๆในวงก็มาร่วมระดมความคิดเห็นร่วมกัน ได้ออกมาเป็นข้อๆ นี่คือกติกาที่กลุ่มเราต่างสมัครใจและอยากปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งมาจากประสบการณ์ที่ทำไดอะล็อคมาแล้วได้ผลดี ไม่ได้ถือว่าเป็นกติกามาตรฐานของไดอะล็อคแต่อย่างใด

หากแต่ใครจะลองนำไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มของตนเองก็ได้เช่นกันกติกาทั้งหมดมี 10 ข้อ ดังนี้

1. สร้างบรรยากาศในวงให้สบายๆ เป็นไปตามธรรมชาติของการพูดคุย กินขนมได้หากไม่รบกวนผู้อื่น

2. ปิดโทรศัพท์ งดออนไลน์ตลอดการสนทนา หากต้องการโทรศัพท์ให้ลุกออกไปนอกวง

3. พูดทีละคน ขณะที่คนหนึ่งพูด ที่เหลือรับฟังอย่างใส่ใจ ไม่พูดแทรกหรือแย่งกันพูด

4. พูดจากประสบการณ์ตรง ไม่พาดพิงผู้อื่น ไม่พูดจากทฤษฎีหรือพยายามสั่งสอนโน้มน้าวด้วยคำพูด

5. เคารพความเป็นส่วนตัว ไม่เอาเรื่องในวงไปเล่าต่อนอกวง ทำให้ล่วงเกินความเป็นส่วนตัว

6. หากพูดจบ ให้บอกว่าจบ เพื่อให้คนอื่นรู้ คนที่เหลือก็อาจยกมือขึ้นเล็กน้อย เพื่อเป็นสัญญาณว่าอยากพูดต่อ

7. หากมีคำถาม ให้โยนไว้กลางวง ให้ร่วมกันตอบ ไม่เจาะจงถามกับบางคน เพราะเราไม่ได้สนทนากันเป็นส่วนตัว

8. ไม่พูดนานเกินไปจนผูกขาดการพูดไว้คนเดียว เปิดพื้นที่ให้คนอื่นได้พูดบ้าง หากต้องการที่จะพูดอีกรอบ ควรเว้นช่วงระยะให้ผ่านไปแล้วสัก 2 คน

9. หากใครไม่อยากออกความเห็นในบางเรื่อง ก็สามารถเงียบได้ ใช้โอกาสนั้นฝึกเป็นผู้ฟังที่ดี

10. หากในวงเกิดความเงียบ ไม่จำเป็นต้องพยายามรีบหาเรื่องมาพูด ให้สังเกตความคิดความรู้สึกของตัวเองในขณะนั้น เพราะแม้เราจะเงียบ แต่ความคิดของเราไม่เคยเงียบ ให้ใช้โอกาสนั้นเป็นการเรียนรู้ตัวเอง

อย่างไรก็ตาม กติกาเหล่านี้ ก็เป็นเพียงเปลือกนอก เป็นเพียงกรอบหรือแนวทางปฏิบัติ เป็นไปเพื่อสร้างความสะดวกในการสนทนาสำหรับผู้เริ่มใหม่ และสำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกัน ให้รู้สึกสบายใจ รู้สึกไว้วางใจและปลอดภัยในการมาพูดคุยกัน รวมถึงเป็นการเคารพในสิทธิเสรีภาพของกันและกันด้วย

ในที่สุดแล้วหลังจากจบวง เราเองจะเป็นผู้ตัดสินว่า สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เหมาะกับบริบทของชีวิตเรา เราก็เลือกหยิบไปใช้ ในบางครั้งจะมีบางสิ่งมากระตุ้นความคิด สะกิดใจ ให้เราเกิดไอเดียใหม่ๆ หรือค้นพบคำตอบที่เราค้นหาอยู่ได้อย่างน่าประหลาดใจ...



วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไดอะล็อคพื้นฐาน (2): คำถามที่มักสงสัย


ความต่อจากตอนที่แล้ว ผมกำลังเล่าถึงประสบการณ์ บรรยากาศในวงไดอะล็อคครั้งแรก กับสมาชิกใหม่ 18 คน ที่ต่างก็เป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หัวใจเราปิด

ในทางตรงกันข้าม เราพยายามเรียนรู้ที่จะเปิดหัวใจออกมา เพื่อให้เกิดการสนทนาที่ลื่นไหลไปมาหากันได้ มิใช่เป็นเพียงการสื่อสารทางเดียวเหมือนในอดีต ที่ไม่มีใครฟังเรา พูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจ

ในช่วงแรกนี้ หลายคนถามว่า วงไดอะล็อค ต่างจากวงสนทนาอื่นๆอย่างไร...?

ในชีวิตปกติประจำวัน เรามักจับกลุ่มพูดคุยกันแต่เรื่องนอกตัว วิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เรื่องข่าวหน้าหนึ่ง เรื่องดารา เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนา พูดเอามันส์ แล้วก็แล้วกันไป มันไม่เคยทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย

แต่ที่นี่ เราจะพูดเฉพาะเรื่องในตัว เรื่องราวของความคิด มุมมองที่มีต่อชีวิต ความสุขจากภายใน ที่ไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยภายนอก นี่คือสิ่งที่จะทำให้เราได้ค้นพบกับบางสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดถึงมาก่อน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าในวงนี้ ทุกคนจะต้องนำความลับ หรือเรื่องส่วนตัวมาเปิดเผยให้คนไม่รู้จักฟัง ไม่ต้องกังวลนะครับ เราสามารถพูดอะไรก็ได้ เท่าที่เราสบายใจ เปิดเผยเท่าที่เรารู้สึกว่าปลอดภัย แต่เราจะไม่กล่าวพาดพิงถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในวง เพราะนั่นหมายถึงเรากำลังตั้งวงนินทาผู้อื่น โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์มาแก้ต่างข้อกล่าวหา

ไดอะล็อคเป็นกระบวนการที่ทำให้เราได้รู้จักตัวเอง จากการรับฟังเรื่องราวของคนอื่น แล้วเราจะได้คำตอบที่เหมาะสมกับตัวเอง เป็นสิ่งที่เราคิดขึ้นมาได้เอง ไม่ใช่มาจากสิ่งที่เราเรียนรู้มาหรือคนอื่นยัดเยียด สั่งสอน โน้มน้าวให้เชื่อ จากนั้น เราก็จะสามารถเก็บเกี่ยว เลือกเฟ้น แล้วนำไปใช้ได้อย่างภาคภูมิใจ

ดังนั้น เมื่อมีใครถามอะไร หรือขอคำปรึกษาขึ้นมาในวงไดอะล็อค เราจะไม่ด่วนไปแนะนำ ให้ความเห็น ด้วยการยกทฤษฎี หรือการหาหลักการมาอ้างอิง แต่เราจะยกเหตุการณ์ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก อารมณ์และประสบการณ์ตรงมาพูดเท่านั้น

โดยที่เน้นว่ามันเป็นความจริงเฉพาะกับตัวเราเอง ณ ตอนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงเสมอไปในทุกกรณี เพราะเราไม่อาจรู้ได้ ว่าบริบทของคนอื่นนั้น มีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไร เราจึงไม่สามารถให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงได้

ซึ่งหากหลายๆคนได้เอื้อเฟื้อ และโยนความคิดเห็นมาทิ้งไว้กลางวง สมาชิกทุกคนจะมีสิทธิ์เลือกหยิบไปใช้ หรืออาจจะเกิดความคิดใหม่ที่ดีกว่าขึ้นมา ก็ได้เช่นกัน...
.....................

การมาฝึกไดอะล็อค จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร…?

มันจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างแนบเนียนจนเราไม่ทันสังเกต จนกว่าคนใกล้ชิดของเราจะเดินมาถามอย่างสงสัย ว่าอะไรทำให้เราเปลี่ยนไป

ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนผมจะไม่สามารถทนฟังน้องสาวพูดจนจบได้ เพราะผมคอยจะขัด มุ่งจะสอน อยากจะแนะนำ ไม่ว่าจะมันมาจากความหวังดี หรือไม่อยากเสียเวลาฟังก็ตาม แต่น้องสาวผมก็ไม่เคยรู้สึกดีเลย เพราะเมื่อเธอมีปัญหา เธอต้องการแค่เพียงคนรับฟัง ไม่ได้อยากได้ความเห็นหรือฟังคำสั่งสอนของใคร

ส่วนตัวผมเองก็ไม่เข้าใจ รู้สึกหงุดหงิด ที่พอแนะนำไปเธอก็ดูไม่ใส่ใจ ไม่ปฏิบัติตาม แล้วก็มาบ่นกับปัญหาเดิมๆ หลังๆก็เลยไม่อยากคุยด้วย กลายเป็นว่า ความสัมพันธ์ของเราก็ห่างเหินกันไป โดยเรามองไม่เห็นสาเหตุต้นตอของปัญหา

เย็นวันหนึ่ง หลังจากผมฝึกไดอะล็อคมาสักพัก ระหว่างที่เราคุยกันตามปกติ น้องสาวผมก็เปรยขึ้นมาว่า ทำไมเดี๋ยวนี้พี่เรือรบเปลี่ยนไป รับฟังเธอพูดจนจบ แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยารุนแรงเหมือนเมื่อก่อน ไม่ว่าเธอจะทำผิดทำถูก ผมก็เพียงยอมรับในตัวเธอและสนับสนุนให้กำลังใจเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด เธอก็มีกำลังใจ พร้อมจะกลับไปเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเองต่อ สิ่งนี้ จะทำให้เธอเข้มแข็งด้วยตัวเอง อย่างแท้จริง...

สุดท้าย ผมอยากจะเน้นว่า หากเรารู้ว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และมันชัดเจนมาก นั่นยังไม่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

เพราะมันเป็นเพียงผลลัพธ์จากแผนการที่เราคาดหวังไว้เท่านั้น มันจึงเป็นเพียงเป้าหมายที่เราทำได้สำเร็จ แต่การเปลี่ยนแปลงที่ผมพูดถึงนี้ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ยกระดับจิตจากภายใน เป็นไปตามทิศทางที่เราสนใจ แต่เราจะไม่รู้ว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อไหร่กันแน่….

นี่คือความมหัศจรรย์ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้วงสนทนาอันเรียบง่าย ที่เรียกว่า ไดอะล็อค นั่นเอง



วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไดอะล็อคพื้นฐาน (1): การเริ่มต้น

หลังจากที่ผมเขียนบทความเกี่ยวกับไดอะล็อค ลงในคอลัมน์ของ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ มีหลายท่านได้อีเมลมาถามว่าผมจะจัดไดอะล็อคให้กับผู้สนใจเมื่อไหร่ เพราะพวกเขาต้องการที่จะเข้ามาร่วมเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อให้สามารถสัมผัสประสบการณ์ตรง และมีทักษะเพียงพอที่จะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ

ผมจึงได้นัดเปิดวงสุนทรียสนทนาขึ้น ที่ร้านกาแฟบรรยากาศดี มีเพื่อนใหม่ๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาพบกันพร้อมหน้าถึง 18 คน มีตั้งแต่นักเรียนวัยรุ่นอายุ 17 ปี ไปจนถึงผู้บริหารบริษัท ผู้อาวุโสเฉียด 60 ขวบ

ในความแตกต่างทั้งเพศและวัย ต่างสาขาอาชีพ ถือว่าเป็นวงสนทนาที่มีความหลากหลาย และมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ว่าเราจะสามารถดำเนินการสนทนาไปได้อย่างไร

เนื่องจากมีสมาชิกหลายคน ผมรบกวนให้ทางร้านจัดโซนพิเศษที่มุมด้านใน เคลียร์โต๊ะและเก้าอี้ออกไป แล้วปูเสื่อให้เราทุกคนได้นั่งล้อมวงกันบนพื้น

เพื่อให้เราได้เห็นหน้าเห็นตากัน และรู้สึกถึงความเท่าเทียม ไม่มีใครเป็นผู้นำหรือผู้ตาม สร้างบรรยากาศสบายๆ ด้วยเสียงดนตรีเบาๆ ทุกคนสามารถสั่งกาแฟหรือชาที่ตัวเองชอบ มานั่งจิบและพูดคุยกันไปได้ ใครจะกินเค้กกินขนมขบเคี้ยวไปด้วยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งเกร็งหรือทำให้เป็นพิธีการจนอึดอัดใจ

ก่อนเริ่มวงสนทนา ผมขอให้ทุกคนได้หลับตา ทำความรู้สึกผ่อนคลาย นำจิตกลับมาระลึกรู้อยู่กับลมหายใจเข้าลึกช้า และผ่อนลมหลายใจออกเบาๆผ่อนคลาย ให้เรารู้สึกว่า หายใจเข้าลึกจนท้องพอง หายใจออกยาวจนท้องยุบ เมื่ออยู่กับลมหายใจได้สักพัก ก็ให้สัมผัสกับความเป็นปัจจุบันขณะ มีสติรู้ถึงความชัดเจนของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก หรือผัสสะที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น

นี่คือกระบวนการนำจิตของเราให้สงบ ระงับจากเรื่องราววุ่นวายนอกตัว และเป็นการเตรียมพร้อมที่จะกลับมารับรู้เรื่องราวในตัว ซึ่งจะได้เริ่มเดินทางร่วมกันต่อไป

กิ๊งงง..... หลังจากสิ้นเสียงกังวานใส ของระฆังแห่งสติใบน้อย ทุกๆคนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ

ผมเริ่มกล่าวเกริ่นแนะนำตัว และขอให้เพื่อนใหม่ผู้ร่วมวงทุกคน กล่าวแนะนำตัวที่พิเศษกว่าปกติ โดยผมตั้งคำถามว่า “คุณคือใครในโลกใบนี้ อะไรคือสิ่งที่คุณกำลังแสวงหา หรือกำลังเดินทางเพื่อมุ่งไปถึงจุดนั้นอยู่”

“ผมชื่อเรือรบ เป็นนักเขียน เป็นนักเดินทางแสวงหาทางจิตวิญญาณ และมีความสุขกับการเดินทางในทุกๆวัน ด้วยใช้ชีวิตอย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์” ผมกล่าวเรียบๆสั้นๆ และยิ้มเชื้อเชิญให้เพื่อนใหม่ลองสืบค้นตัวเองด้วยคำถามแปลกๆนี้

“ชื่อโบ นะคะ เป็นจิตแพทย์เด็ก เป็นคนที่แสวงหาความสุข ตอนนี้เห็นว่า ความสุขที่แสวงหา จริงๆก็คือความทุกข์ที่เรายอมรับได้...”

“ผมชื่อศร ยอมรับเลยว่า ปัจจุบันยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรแน่...”

“ชื่อโบนัสค่ะ เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 4 อยากรู้ว่า เราจะหาความสุขที่ไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอกได้อย่างไร...”

“ผมชื่อวิทย์ เป็นนักขัดแย้ง แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสนุกสนาน...”

“หนูชื่อฟินค่ะ อายุ 17 ปี มากับพ่อ ชอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน จะช่วยเปิดมุมมองให้ตัวเอง เข้าใจชีวิตได้มากขึ้น”

นี่คือบางส่วนจากเสียงของเพื่อนใหม่ในวง เมื่อ 5 นาทีก่อน เราคือคนแปลกหน้า แต่นาทีนี้ เราเป็นคนรู้จักกันแล้ว ผมยิ้มและกล่าวต้อนรับทุกคนอย่างเต็มใจ 

ผมรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่พวกเราได้มาพบกันที่นี่ ทุกคนมีเรื่องราวในชีวิต และมีสิ่งที่กำลังแสวงหา หรือหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่ แต่ผมมั่นใจว่า พวกเขาจะพบคำตอบนั้น ณ ที่แห่งนี้ แน่นอน…