วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

หัวใจแห่งไดอะล็อค

ในแวดวงธุรกิจ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ดร. ปีเตอร์ เซงเก จาก MIT มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของอเมริกา ผู้เขียนหนังสือ “The Fifth Discipline (2006)” ที่โด่งดังและติดอันดับขายดีตลอดกาล

เขาได้แนะนำให้ทุกองค์กรนำกระบวนการไดอะล็อคมาเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันในทีมงาน สร้างพื้นฐานวินัยที่ห้า นั่นก็คือ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning) ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างให้องค์กรนั้นเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” (Learning Organization)

ดร. เซงเก้ ได้เปรียบเทียบไว้ว่า หัวใจของการเล่นดนตรีนั้น ไม่ได้สำคัญว่านักดนตรีแต่ละคนจะเก่งกาจหรือชำนาญสักแค่ไหน แต่สำคัญว่า คนเหล่านั้นสามารถที่จะเล่นร่วมกันเป็นวงได้อย่างกลมกลืนเหมาะเจาะและไพเราะเพียงไร

ดังนั้นการมีไดอะล็อคในองค์กร ก็จะเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนเก่งๆ ทั้งหลายที่เคยต่างคนต่างเก่ง กลับมาทำงานร่วมกันได้นั่นเอง

เพื่อให้ความเข้าใจของกระบวนการไดอะล็อคนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราควรจะได้ทราบถึงหัวใจของการทำไดอะล็อค ซึ่งนำเสนอโดย ดร.วิลเลียม ไอแซคส์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัย MIT ผู้เขียนหนังสือ Dialogue and The Art of Thinking Together (1999)

ในหนังสืออธิบายว่า เนื่องจากไดอะล็อคเป็นกระบวนการกลุ่มที่มีพลวัตและแปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติตามสมาชิกผู้ร่วมวง จึงไม่มีกติกาในการไดอะล็อคที่เป็นหลักการตายตัว

สมาชิกในกลุ่มเพียงแต่ร่วมกันตั้งกฎพื้นฐานคร่าวๆในการพูดคุยแต่ละครั้ง ด้วยการสร้างพื้นที่เฉพาะในการสนทนาด้วยพื้นฐาน 4 ประการ ที่ในกลุ่มมักจะตกลงร่วมกัน ได้ดังนี้

1.สงบ สบาย ด้วยการปิดโทรศัพท์มือถือ หากต้องการคุยโทรศัพท์ให้คุยนอกวง สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายด้วยการนั่งลงกับพื้น ล้อมวงเป็นวงกลม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน ไร้ซึ่งสถานะที่สูงต่ำ ไม่มีผู้นำและผู้ตาม

2.ปลอดภัย ไว้วางใจ ด้วยการพูดทีละคน คนที่เหลือรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่พูดแทรกกัน ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งโดย เข้าให้ถึงอารมณ์ ความรู้สึก คุณค่าภายในจิตใจที่ผู้พูดอาจไม่ได้พูดออกมา ละวางสมมติฐาน ความเชื่อ ความเห็นหรือวาระซ่อนเร้นไว้ก่อน เปิดใจรับฟังด้วยการห้อยแขวนการตีความและการตัดสินถูกผิดไว้ แล้วฟังจนจบ รักษาความลับของเพื่อนในวง ไม่นำออกไปพูดนอกวง

3.เคารพ เท่าเทียม เมื่อต้องพูดถึงประเด็นปัญหา ให้เน้นที่ตัวปัญหา ไม่พาดพิงถึงบุคคลที่สามที่ไม่อยู่ในวง เคารพในพื้นที่ของผู้อื่นโดยไม่ผูกขาดการพูดไว้คนเดียว ไม่ยัดเยียดความรู้หรือสั่งสอนกัน ไม่โน้มน้าวให้เชื่อ หรือไม่ฟันธงว่าความคิดตนเองนั้นถูกต้องหรือเป็นคำตอบสุดท้าย

4.สร้างสรรค์ ยอมรับในความเห็นต่าง ไม่รีบร้อนหาข้อสรุปยุติ ให้โยนคำถามและความคิดเห็นไว้กลางวง แล้วปล่อยให้ความไม่รู้นำพาไปสู่ความไม่แน่นอน เปิดพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เน้นการรับฟัง และปล่อยให้วงเงียบได้ในบางจังหวะ เพื่อการใคร่ครวญภายใน

ด้วยกติกาพื้นฐานดังนี้ ทำให้การสนทนาในวงไดอะล็อค มีพลังในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะสมาชิกในวงสามารถนำพาเรื่องราวที่ลึกซึ้งออกมาแลกเปลี่ยนกัน อย่างรู้สึกปลอดภัยไม่โดนตัดสิน 

กระบวนการนี้จึงสร้างพลวัตในการเปลี่ยนแปลงการทำงานให้สอดคล้องและมีประสิทธิภาพได้ เพราะผู้คนจะถูกฝึกทักษะในสื่อสาร ด้วยการรับฟังซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะเปิดใจและเข้าใจกันนั่นเอง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น