วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

กระจกสะท้อนชีวิต (1)

เมื่อผมได้เปิดพื้นที่ “วงฝึกไดอะล็อค” ให้กับเพื่อนใหม่ ที่ติดตามอ่านคอลัมน์ “การเดินแห่งความสุข” ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ให้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ไปพร้อมกัน จึงนำพาให้เกิดการมาตั้งวงสนทนาพูดคุยกันเป็นประจำทุกวันเสาร์ สัปดาห์เว้นสัปดาห์

ในวันนี้ หลังจากแต่ละคนได้แนะนำตัว และกล่าวถึงจุดประสงค์ในการมาร่วมวงกันแล้ว เราก็เริ่มการสนทนาที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นก็คือ พูดคุยกันโดยที่ไม่มีหัวข้อ ไม่มีวาระ ไม่มีประเด็น แล้วก็ปล่อยให้บรรยากาศในวงนำพาไป

เอ๋ หนุ่มวิศวกร เริ่มขึ้นมาว่าตัวเองรู้สึกรำคาญทุกครั้ง ที่พอกลับบ้านมาทีไร แม่ก็จะถามว่า “กินข้าวหรือยัง” ตัวเขาเองก็จะหงุดหงิด ว่าทำไมต้องถามด้วย ในเมื่อดึกขนาดนี้ก็ต้องกินมาแล้วแน่นอน เขารู้สึกว่าตัวเองโตมากแล้ว แม่ไม่ควรมาซักไซ้กับเรื่องแบบนี้

บางครั้งแม่ก็ชอบถามว่า ไปไหนมา ทำไมกลับดึก เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องอยากรู้ ในเมื่อเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีการมีงานทำ สิ่งเหล่านี้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พอเกิดบ่อยๆเข้า มันก็ทำให้เขาหงุดหงิด จนพูดไม่ดีกับแม่ไปก็หลายครั้ง

พี่มาด ชายวัยกลางคนท่านหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า ”ผมเคยรู้สึกรำคาญเหมือนกัน แต่ตอนนี้ ตัวผมเองกลับคิดถึงคำถามเหล่านี้จากแม่ ในวันที่ท่านจากไป ก็ไม่มีเสียงคำถามเหล่านี้อีกแล้ว เมื่อผมกลับมาบ้าน ก็ไม่มีเสียงใครถาม ไม่มีใครห่วง ไม่มีใครใส่ใจ

ผมโหยหาข้าวสวยร้อนๆราดแกง ที่แม่มักจะเตรียมไว้ให้เสมอ ไม่ว่าผมจะกลับบ้านมากี่โมง ข้าวจานนั้น คือสัญลักษณ์แห่งความอบอุ่น การเติมเต็มจิตใจให้กับผม...”

คุณลุงเสม ก็สะท้อนความรู้สึกในใจออกมาเช่นกัน “ผมเองอายุห้าสิบกว่าแล้ว แม่ท่านก็ชรามาก ท่านก็ยังถามผมทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ว่ากินข้าวมาหรือยัง เดี๋ยวนี้ แม้ว่าผมจะกินมาแล้ว ผมก็จะบอกว่า ยังครับแม่ แล้วก็จะเห็นท่าน ลุกขึ้น รีบกุลีกุจอหาสำรับกับข้าวมาให้

ไม่ใช่ผมอยากให้ท่านเหนื่อย แต่ผมสังเกตเห็นว่า ท่านจะดีใจทุกครั้งที่ได้หาข้าวให้ผมทาน ท่านได้ลุกขึ้นจากโซฟา ได้ออกแรง ได้ทำงาน ได้รู้สึกมีคุณค่าที่ได้ดูแลผม ผมจึงนั่งลง ทานข้าวจานนั้นด้วยความอร่อย และกล่าวขอบคุณท่านที่ดูแลผมตลอดมา...”

เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่ถูกนำพาออกมาจากเพื่อนผู้ร่วมวง อย่างเป็นธรรมชาติ
ไดอะล็อคเป็นบทสนทนา ซื่อๆ ตรงๆ ที่มาจากใจ ปราศจากการเสแสร้งตกแต่งให้ดูดี ปราศจากการเค้นบังคับหรือถูกกดดัน แต่มาจากการเต็มใจที่จะแบ่งปัน มาจากความจริงแท้เบื้องลึกในจิตใจของแต่ละคน

เรื่องบางเรื่อง ที่เราพบเจอกันอยู่ในชีวิต เรื่องที่เรารำคาญ หรือหงุดหงิดใจ แต่พอถูกแบ่งปัน ได้แลกเปลี่ยน ก็เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน แล้วก็กลับถูกเรียงร้อยออกมาใหม่ ได้เป็นเรื่องราวที่มีคุณค่า ที่ทุกคนต่างอิ่มเอิบใจ และได้รับความหมายบางอย่างกลับไป โดยที่ไม่ต้องมีข้อสรุปที่ตายตัว ไม่ได้มีการสอนสั่ง แต่ละคนเลือกหยิบคุณค่าที่ตนเห็นว่าเหมาะสม กลับไปใช้ในชีวิตของตนเองได้ทันที

เพื่อนร่วมวง ก็เหมือนเป็น “กระจกสะท้อนชีวิต” ที่ทำให้เราได้มองเห็นตัวเอง ในหลายๆแง่มุม แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น

การมองเห็นจุดบอดจุดบกพร่องของตนเองได้สักครั้งเดียว ก็อาจทำให้มุมมองต่อชีวิตของเรา เปลี่ยนไปได้จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น