วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ความหมายของไดอะล็อค (1)

Dialogue ถูกนำเสนอเป็นทางการครั้งแรกโดย David Bohm(1927-1992) นักวิทยาศาสตร์สาขาควอนตั้มฟิสิกส์ชาวอังกฤษเชื้อสายอเมริกัน เขาเป็นทั้งนักจิตวิทยาและนักปรัชญา เป็นลูกศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 


ในวิชาชีพของเขา โบห์มนั้นตระหนักอยู่เสมอว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์ ผู้ฉลาดปราดเปรื่องทั้งหลายในโลก เมื่อต้องมาประชุมหารือร่วมกันแล้ว โดยมากมักจะเกิดความขัดแย้งที่ไม่อาจหาข้อยุติหรือมติเอกฉันท์ได้ 

สาเหตุหนึ่งก็คือ ความเห็นที่ว่าความคิดตนนั้นถูกเสมอ จึงไม่ได้เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ละคนต่างคอยจะจับผิดและหาข้อโต้แย้งเพื่อทำลายทฤษฎีของอีกฝ่าย 

ซึ่งในภาวะแบบนี้ นอกจากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งด้วยการถกเถียงกันแล้ว ยังจะไม่เอื้อต่อพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่เกิดการผลิตความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้ โบห์มจึงเสนอ กระบวนการสนทนาแบบกลุ่มซึ่งเน้นการรับฟังอย่างเปิดใจ ซึ่งเรียกว่า “ไดอะล็อค” 

ในการที่จะเข้าใจความหมายของไดอะล็อคได้นั้น ต้องสามารถแยกแยะได้ก่อนว่า กระบวนการใด ไม่ใช่ไดอะล็อค 

ไดอะล็อคไม่ใช่การเสนอความคืดเห็น ไม่ใช่การอภิปราย ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่การวินิจฉัยเพื่อประเมินความเป็นไปได้ ไม่ใช่การประชุมที่มีคำตอบล่วงหน้า ไม่ใช่การพยายามโน้มน้าว หรือการนำเสนอให้ใครคล้อยตาม ไม่ใช่การสอนสั่ง พิสูจน์ว่าใครถูกหรือผิด

ซึ่งที่กล่าวมา กิจกรรมเหล่านั้น ก็เปรียบเสมือนกับเราเล่นตีปิงปอง โดยที่ต่างฝ่ายต่างโยนความคิดเห็นของตนใส่กันแล้วตีตอบโต้กันไปมา 

แม้ว่าเรามักจะใช้การสนทนารูปแบบเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วมันก็ให้คุณค่าพอสมควร แต่กระบวนการไดอะล็อคนั้น จะพาเราลงลึกเข้าไปในความคิดและจิตใจของแต่ละคน 

เน้นให้เราฝึกการห้อยแขวน คำตัดสิน คำวิพากษ์วิจารณ์ของเราไว้ก่อน แล้วให้ “ฟัง” อย่างเปิดใจ โดยไม่ขัดและไม่พูดแทรก จนกว่าผู้พูดจะแสดงความคิดเห็นของเขาจนจบ 

กติกาพื้นฐานนี้เองทำให้การพูดคุยในวงไดอะล็อคเป็นไปอย่างลื่นไหล ไม่ก่อให้เกิดการขัดแย้งแย่งกันพูด ไม่ต้องปกป้องตนเอง ไม่ต้องถกเถียงทะเลาะกันอย่างในบทสนทนาหรือการประชุมทั่วไปๆ


ความหมายของไดอะล็อค มีความลึกซึ้งในทางภาษาและทางความหมาย ซึ่งจะขอขยายต่อในตอนหน้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น