วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

กระจกสะท้อนชีวิต (2)

การที่เรามาเจอกันในวงไดอะล็อคนั้น ก็เพื่อฝึกฝนการสนทนารูปแบบใหม่ ที่เน้น “การรับฟังอย่างลึกซึ้งและไม่ตัดสิน” ทำให้เกิดการ “เข้าใจผู้อื่น” ส่งผลกลับมาเป็นการ “เข้าใจตัวเอง” มากขึ้น จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองได้ในระดับเบื้องลึกของจิตใจในที่สุด
ผมเริ่มวงด้วยการให้สมาชิก “เช็คอิน” โดยเล่าให้เพื่อนๆในวงฟังว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเราเรียนรู้เรื่องไดอะล็อคไปแล้ว เรานำไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร และเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

น้องโบวี่ นักศึกษาแพทย์สาว ที่เคยมีปัญหาเก็บกดเรื่องคุณพ่อจากเมื่อสัปดาห์ก่อน วันนี้เริ่มเล่าเป็นคนแรกอย่างร่าเริงว่า “หนูกลับไปรับฟังคุณพ่อมาค่ะ ทำให้รู้ว่า จริงๆแล้ว คุณพ่อเค้าเป็นห่วงหนูมาก ที่เค้าบ่นเยอะๆ เป็นเพราะว่าเค้านั่นแหละที่เก็บกด มีเรื่องอะไรไม่กล้าคุยกับหนูตรงๆ พอเก็บไว้หลายวันเข้า ได้จังหวะพูดขึ้นมา มันก็เลยเหมือนระเบิดลง...

จริงๆแล้วมารู้ทีหลังว่า เค้าเตรียมตัวเตรียมใจตั้งนาน กว่าจะพูดกับหนูได้ พอเราคุยกันจบ เชื่อมั้ย หนูก็โผเข้าไปกอดเค้าเลย เพราะเรารับรู้ความรู้สึกของเค้าได้จริงๆ ว่าเค้าแคร์เรามากขนาดไหน หลังจากวันนั้นมา หนูก็มักจะกอดเค้ามากขึ้น แล้วก็พูดอะไรขำๆกับเค้ามากขึ้น เห็นเลยว่าบรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป เค้าดูผ่อนคลาย และหัวเราะกับเรามากขึ้น” สาวน้อยของเรายิ้มแก้มแทบปริหลังจากพูดจบ

คุณสายรุ้ง สาวออฟฟิตทำงานด้านงานวิชาการ เล่าสะท้อนเรื่องของตัวเองว่า “ปกติรุ้งเป็นคนคุยไม่เก่ง พอเราออกจากบ้านต่างจังหวัดมา แล้วก็มาทำงานในกรุงเทพ ทำให้ไม่ค่อยได้คุยกับแม่ พอโทรศัพท์หาแม่ ก็ได้แต่ถามว่า สบายดีมั้ย กินข้าวรึยัง คุยได้แค่นั้น ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แล้วเลยก็วางหูเรารู้สึกเลยว่า เราห่างจากแม่มากขึ้นเรื่อยๆ

พอได้มารู้จักไดอะล็อค รุ้งก็นำไปใช้ เมื่อได้คุยโทรศัพท์กับแม่ รุ้งแค่รู้สึกว่า อยากฟังแม่พูด อยากให้แม่เล่า แล้วรุ้งก็แค่ฟังอย่างตั้งใจ ปรากฎว่า แม่เล่าเยอะมาก รุ้งก็คุยกับแม่สนุกมาก เพราะเราใส่ใจฟังเขา เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาพูด เราก็ยังพูดไม่เก่งเหมือนเดิม แต่เราฟังเก่งขึ้น การสนทนาและความสัมพันธ์ของเราก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกสบายใจมากเลยค่ะ”

คุณมาด เจ้าของกิจการส่วนตัว เล่าให้ฟังว่า “ผมยอมรับว่าเป็นคนใจร้อน ยิ่งตอนขับรถ ถ้าใครมาปาดหน้า หรือทำอะไรให้ไม่พอใจ ผมพร้อมมีเรื่องเสมอ ผมไม่เคยกลัวใคร

ไม่นานมานี้ ผมขับรถอยู่เพลินๆ พอดีมีรถเข็นขายของ โผล่ออกมาจากซอยทางขวา ผมก็เลยเบี่ยงหลบกะทันหัน ปรากฏว่ามีมอเตอร์ไซด์คันโต วิ่งแซงมาทางซ้ายพอดี ผมเกือบเบียดไปโดนเค้า เท่านั้นแหละ เค้าก็ขับเบียดปาดมาใกล้ๆ พยายามให้ผมหยุดรถ แล้วก็ชี้หน้าผมพร้อมกับส่งสายตาอาฆาตมาดร้าย มีเสียงด่าหยาบคายดังทะลุกระจกเข้ามาเลย

ผมรู้สึกจี๊ดขึ้นมาทันทีเหมือนกัน ผมจอดรถจะเปิดประตูลงไปฉะด้วย แต่ในชั่ววินาทีนั้น ด้วยการฝึกไดอะล็อค ที่สอนให้เราไม่ด่วนตัดสิน มันทำให้อยู่ๆ ผมก็เกิดมีสติขึ้นมาว่า ใครๆก็รักชีวิตเหมือนกับเรา คนๆนี้เค้าก็อาจบาดเจ็บหนักเพราะเราได้ เค้าเองก็มีสิทธิ์โกรธเหมือนๆกับเราเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เลยยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวหนึ่งครั้งอย่างงามๆ พอเงยหน้าขึ้นมา คู่กรณีก็บึ่งรถหายไปแล้ว

ผมได้มาคิดย้อนดูอีกที อันที่จริง ผมก็มีลูกมีเมียแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องกับผู้ชายคนนี้ ใครจะรู้ ว่าผมจะได้กลับไปหาครอบครัวหรือเปล่า

ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียว ที่ไดอะล็อคทำให้ผมเท่าทันตัวเองมากขึ้น ช้าลงในการตัดสินใจ ปกติที่ยอมใครไม่ได้ ผมก็ช้าลงในการตอบโต้ แล้วก็เหมือนมีอีกเสียงหนึ่งบอกตัวเองว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างเดิม ทำอย่างเดิมเสมอไป เราเลือกทำสิ่งใหม่ๆได้เสมอ...”
...................

เวลาผ่านไปแค่สองอาทิตย์ เพื่อนๆในวงของเรา ได้นำประสบการณ์ที่ได้กลับไปฝึกฝน เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งด้วยตัวของพวกเค้าเอง เกิดผลลัพธ์ที่ทำให้ชีวิตแต่ละชีวิต มีความสุขมากขึ้น และคนรอบตัวของพวกเค้าก็มีความสุขด้วยเช่นกัน

คงไม่มีใครมองเห็นจุดบอดของตัวเอง เพราะถ้ามองเห็น นั่นก็ไม่เรียกว่าเป็น “จุดบอด” จริงไหมครับ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ ว่าไม่รู้อีกมากมายนัก และคงไม่มีใครจะทำให้เรามองเห็นได้ นอกจากสภาพแวดล้อมบางอย่าง ที่ผ่อนคลายมากพอ ทำให้เราเปิดใจมากพอ และเป็น “กระจกสะท้อนชีวิต” ที่ฉายให้เรา มองเห็นตัวเองได้ ในมุมที่เราไม่เคยมองมาก่อน...


เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้มองเห็นตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาชี้นำสั่งสอน เราจะเป็นผู้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงการกระทำบางอย่าง ที่เห็นว่าเหมาะสมมีเหตุผลด้วยตัวเอง และพร้อมที่จะกลับมาแชร์เรื่องราวดีๆ และเรียนรู้ร่วมกันไปกับเพื่อนๆ กัลยาณมิตรในวงสุนทรียสนทนาของเราอีก ในครั้งต่อๆไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น